Pornnapa Kamsasin

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ารักที่ปรารถนา ... ยาวไปหน่อย แต่ซึ้งมาก

ภายใต้คำว่าครอบครัว คุณมีความเข้าใจมากแค่ไหนกับคำๆนี้ องค์ประกอบที่จะมาเติมเต็มให้สมบูรณ์ บางครั้งใครบางคนอาจละเลยที่จะสนใจ จนปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป จนบางครั้งอาจสายเกินไปที่จะแก้ไข อดีตย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว อยู่ที่ปัจจุบัน คุณ.. จะทำอย่างไรถึงจะรักษาคำว่าครอบครัวเอาไว้ได้นานๆ

"ผิง" เสียงแม่เรียกลูกสาวคนโต
ไม่มีเสียงตอบ เงียบ
"***ผิง" หยาบแล้วสิ
" มีอะไร" ผิงส่งเสียงตอบ
"เออ ขานได้เพราะมาก"
ก็เรียกได้เพราะเหมือนกันหละ ผิงคิด นั่นเป็นการสนทนาที่ดูไม่ถูกคอเอาซะเลยว่ามั้ย จริงๆแล้วครอบครัวนี้ เมื่อมองภายนอกเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง อบอุ่น และดูรักกันดี อาการก้าวร้าวที่เกิดขึ้นกับผิง มันเกิดมานานแล้ว พร้อมกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ และโดยที่ไม่เคยได้ระบาย ถ้าคุณเป็นคนที่มองจากภายนอก เธอเป็นคนร่าเริง นิสัยดี และน่ารัก นั่นคือสิ่งที่คุณเห็น เหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่มีความสุข เข้มแข็ง และมีความคิด นั่นหละ?


ครอบครัวของผิงมีด้วยกันสี่คน ผิงมีน้องสาวน่ารักอีกหนึ่งคน จะว่าไปแล้วสองพี่น้องนี่ก็ดูจะรักกันดี แต่ไม่รู้เพราะอะไร การที่ผิงเติบโตจากครอบครัวที่มีแต่การบังคับ และต้องเดินตามหมาก มันไม่สามารถทำให้เธอเดินออกนอกลู่นอกทางอย่างเด็กคนอื่น ไม่เที่ยว ไม่ติดยา ไม่ติดเพื่อน แต่นั่นหละที่คุณไม่รู้?คนภายนอกมองว่าเธอเป็นเด็กที่สมบูรณ์พร้อม ไม่มีปัญหา เรียบร้อย และน่าคบ มันก็จริง แต่ผิดกับที่บ้าน เธอไม่ได้พูดจาเพราะและยิ้มแย้มเหมือนอยู่กับเพื่อน กับคนที่อยู่นอกบ้าน ปัญหาภายในบ้าน ไม่? พ่อแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เธอเองที่มีปัญหากับทางบ้าน ด้วยระบบความคิดที่ขัดแย้งและแตกต่างกัน เธอมักจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างคิดมาก และขี้น้อยใจ พยายามบอกตัวเองว่า..เข้มแข็งไว้ผิง สักวันเค้าจะรู้เอง และนั่นเป็นสิ่งที่เธอรอคอยมาตลอด ผ่านเวลาไปเป็นสิบปีแห่งการเฝ้ารอ ไม่มีผล ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการอะไร ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นอะไร ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะมีเหตุผลยังไง มันเป็นอุปสรรคที่น่าท้อแท้เหลือเกิน

ผิงเริ่มที่จะมีปัญหากับสภาพจิตใจมาตั้งแต่เธอจำความได้ แต่ตอนเด็กๆ เธอได้แต่โดนทำโทษโดยที่เถียงแบบเด็กๆ ทำงานเกินกว่าที่เด็กทั่วไปจำเป็น ระบบความคิดของเธอ และเหตุผลจึงมีมากกว่าเด็กทั่วไป สามารถแยกแยะ และมีความคิดที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็นั่นแหละ ความคิดบางอย่างของเธอก็ช่างเด็กซะเหลือเกิน ก็มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่ ความอบอุ่นที่เธอได้รับ ไม่เพียงพอต่อสิ่งที่เธอได้รับอยู่ปัจจุบัน วันหนึ่ง ผิงเดินไปข้างล่าง หลังจากที่เก็บตัวอยู่บนห้องมานาน "ไปถ่ายรูปกันมั้ย" แม่ว่า "อยากถ่ายรูปลูกสาวเอาไว้ดู ก้อดีนะ ถ่ายรูปครอบครัว" พ่อว่า "อืม"

ผิงรู้สึกดีที่ครอบครัวของเธอจะได้ถ่ายรูปกันซะที เธอเองไม่เคยมีรูปครอบครัว ไม่เคยมีรูปพ่อแม่ ไม่เลย?และแล้ววันนั้นก็มาถึง "พลอย ไปแต่งตัวสิ เดี๋ยวจะได้ไปถ่ายรูปกัน" ผิงยังอยู่ข้างบน และกำลังเตรียมตัวที่จะไปถ่ายรูปเช่นกัน พลอยแต่งตัวเสร็จแล้ว ผิงเองก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอเองจะลืมอะไรบางอย่างไว้ ผิงวิ่งขึ้นข้างบนอีกครั้งไปเอานาฬิกา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที พ่อมาแล้ว
"เสร็จรึยัง" พ่อถาม "เหลือยายผิง" แม่ตอบ "ทำอะไรชักช้า ชอบทำให้เสียอารมณ์อยู่เรื่อย ไม่น่าพาไปไหนด้วยเลย"

ผิงได้ยินทุกอย่าง บ้านเธอใช่ว่าจะใหญ่โตซะเมื่อไหร่ ล้มเลิกการหา เธอเดินหน้าตาบอกบุญไม่รับลงไปข้างล่าง "เป็นอะไรฮะยายผิง อืดอาดยืดยาด ทำไมไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม แล้วดูหน้าตาสิน่ะ ไปไหนชอบทำหน้าบูด เสียอารมณ์จริงๆ" พ่อว่า "วันๆ เอาแต่นั่งจ้องทีวี แล้วก็ไปจ้องคอมต่อ และยังไปหมกตัวอยู่ในห้อง อ่านแต่นิยายไร้สาระ ไม่รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเค้าบ้าง" แม่พูดต่อ และมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม และเย็นชา "ผิงไม่ไปแล้ว ไปกันเถอะ" ว่าแล้วผิงก็รีบเดินขึ้นห้อง ตามด้วยเสียงที่ตะโกนไล่หลังต่อมา "ไม่พอใจรึไง ทำเป็นโกรธ ดูไม่ได้" แม่ว่า " มีสิทธิ์อะไรมาโกรธ วันๆเอาแต่ไร้สาระ ทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง"
ผิงอยากตอบกลับไป แต่เธอบังคับใจไม่ให้พูดต่อ เดี๋ยวเรื่องมันจะยาวกว่านี้ เธออยากตอบกลับไปเหลือเกินว่า .. ในเมื่อผิงจะเป็นตัวถ่วง ไม่ดีเหรอที่ผิงจะไม่ต้องไปนั่งหน้าบึ้งให้เสียอารมณ์ ไม่ดีรึไงที่จะไม่ต้องเห็นหน้าผิง ผิงมันน่ารำคาญนี่นา ไม่มีใครมาง้อเธอ แน่นอนหละ ทุกคนเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ และจากเธอไปในไม่ช้า ในวินาทีนั้นเอง เธอบอกกับตัวเองว่า เธอไม่เหลือใครจริงๆ ไม่มีใครสนใจเธอ ไม่มีใครคิดจะใส่ใจความรู้สึกของเธอ ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง ไม่มีใครที่เธอจะพูด ระบายทุกเรื่องได้ ไม่มีเลย เพื่อนสนิทซักคนเธอยังไม่มี เพื่อนที่พร้อมจะรับฟังและให้คำปรึกษากับเธอทุกเรื่อง เวลาผ่านไปจนกระทั่งฟ้ามืด ยังไม่มีใครกลับมา ผิงเอาแต่นั่งๆนอนๆ อยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรทำ หลังจากที่พ่อ แม่ และพลอยจากไป เธอก็เอาแต่นั่งเงียบ ไม่มีน้ำตาออกมา ทั้งที่อยากจะร้อง และตะโกนออกมาดังๆ แต่ทำไม่ได้?ไม่ได้จริงๆ

ในที่สุด พ่อแม่ และน้องสาวของเธอก็กลับมาแล้ว ซื้อของกิน ขนมมาเยอะแยะ ผิงรีบวิ่งลงข้างล่าง แต่จู่ๆ เธอก็หยุดชะงัก และนั่งอยู่ที่บันไดชั้นบนอย่างเงียบๆ ไม่มีใครเรียกเธอ เหมือนเธอเป็นส่วนเกินในบ้าน พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานและกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีเธออยู่ในนั้น ไม่มีใครสนใจที่จะเรียกเธอ หรือแม้แต่จะพูดถึง ความรู้สึกน้อยใจพรั่งพรูออกมาแล้ว มันไม่ได้เป็นครั้งแรก แต่มันหลายครั้ง หลายเรื่อง และมันบั่นทอนจนเกินกำลัง เธอไม่มีใครจริงๆเหรอ ไม่มีแม้แต่คนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน ใกล้กันแค่นี้เอง แต่กลับเหมือนคนไม่รู้จักกัน เหมือนคนที่อยู่ห่างไกล เหมือนเธอไม่มีตัวตน ผิงแสร้งเดินไปกินน้ำ และทั้งหมดเห็นเธอแม่ลุกขึ้นและเดินผ่านเธอไป ด้วยสายตาที่เย็นชา และนิ่งอย่างที่เป็นเสมอมา พ่อและน้องดูทีวีอย่างไม่สนใจเธอ.. ข้อพิสูจน์ชัดแจ้งแล้ว ไม่มีใครอยู่กับเธอจริงๆ ผิงเดินขึ้นข้างบนอีกครั้ง เธอเดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าอย่างเงียบกริบ น้าใสๆไหลออกจากตาเธอแล้ว นั่นเธอแสดงความอ่อนแอออกมาแล้ว รับไม่ไหวอีกแล้ว น้ำตาที่ถูกเก็บไว้นานได้ออกมาแล้ว เธอเคยสัญญาว่าจะร้องไห้แบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อคราวก่อน และหลายๆครั้ง แต่เธอผิดสัญญากับตัวเอง เธอร้องอีกแล้ว
ผิงปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาที่สูงที่สุด อย่างที่เธอเคยทำทุกครั้งที่เธอเศร้า และต้องการอยู่เพียงลำพัง มันเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ ที่นั่งจ้องมองดูดวงดาว และคุยกับมันอย่างสิ้นหวัง เกินจะทนแล้วดาวจ๋า ท้อจนไม่รู้จะท้อยังไงแล้ว ล้มจนแทบจะไม่อยากลุกแล้ว นี่ผิงไม่มีใครเลยจริงๆเหรอ แม้แต่เธอผิงเองก็ยังไม่แน่ใจว่ากำลังฟังผิงรึเปล่า ไม่ค่อยมีใครยอมฟังผิง ทำอะไรก็ผิด พูดอะไรก็ผิด ไม่ได้เรื่องซักอย่าง บางทีผิงอาจจะเป็นอย่างที่แม่กับพ่อว่าก็ได้ ผิงมันไม่ดีเอง แต่? ผิงแค่อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจผิงบ้าง รับฟังผิงหน่อย แต่ดาว.. เธอรู้มั้ย ผิงไม่เคยพูดอะไรได้เลย ปรึกษาอะไรกับเค้าไม่ได้เลย เค้าไม่ฟังผิง ไม่เลย ไม่?สักนิด ทุกอย่างเค้าคิดเอง เค้าเออเอง เค้าตัดสิน เมื่อเค้าไม่ชอบคือผิด ผิงไม่รู้ว่าเค้าอคติรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผิงไม่มีใครสักคน ไม่มีคนรับฟัง จะอยู่ต่อไปดีไหมดาว หรือว่าถึงเวลากล่าวคำอำลาแล้ว?.

วันต่อๆมา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีใครพูดกับเธอ มีแต่พลอยที่พูดบ้าง แต่พลอยก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ ถึงแม้ว่าพลอยเองจะรับฟังได้ แต่พลอยก็ไม่เข้าใจ และที่สำคัญ เธอไม่สามารถให้คำปรึกษาอะไรได้เลย ปิดเทอมนี่เหงาเหลือเกินกว่าที่จะหาอะไรมาทำให้จิตใจเบิกบาน ต้องอยู่กับตัวเอง อยู่กับห้องแคบๆ อยู่กับจินตนาการที่ฟุ้งซ่านไปวันๆ ผิงนั่งอ่านหนังสืออยู่ แม่เดินเข้ามา และถึงแม้ว่าแม่จะพูดกับเธอแล้ว แต่มันก็เป็นประโยคที่เธอเองไม่ต้องการได้ยินนัก "วันๆทำอะไรบ้าง เคยคิดจะช่วยงานบ้างไหม งานการไม่รู้จักทำ แล้วนี่อะไร" แม่หยิบหนังสือของเธอขึ้นมาจากมือผิง "นิยาย" ว่าแล้วแม่ก็โยนมันลงพื้น เหมือนกับว่ามันเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง

ผิงมองตามด้วยสายตาเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน สายตาที่เศร้าหมอง เมินเฉย และไร้ความรู้สึกเหมือนไม่มีวิญญาณ "ไร้สาระ เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์อะไรบ้างไหม" แม่ถาม ในที่สุดผิงก็ตัดสินใจพูดออกไป มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้แม่รับรู้ว่าเธอคิดยังไง "ไม่เสมอไป นิยายสร้างอะไรหลายๆอย่าง ไม่อยากติดอยู่กับความจริง มันไม่มีอะไรที่น่าดู โหดร้ายเกินไป บางครั้งมันอาจจะดีกว่าถ้าหลงลืมความจริงไปได้"

"บ้า" แม่ว่า "ผิงน่ะเหรอ" ผิงเริ่มหันหน้ามามองแม่ จากน้ำเสียงที่อ่อย ตอนนี้กลับดูดุดันขึ้น "แม่เคยรู้อะไรบ้างมั้ย ทำไมผิงเป็นแบบนี้ เคยรู้มั้ยว่าผิงรู้สึกยังไง ทำไม? เคยเข้าใจบ้างไหม ผิงทำงานนะไม่ใช่ไม่ทำ แต่แม่หวังกับผิงมากเกินไป แม่ต้องการให้ผิงทำอะไร งานบ้านผิงก็ทำแล้ว แม่ยังต้องการแม้กระทั่งวงการชีวิตและความสุขของผิง ผิงเป็นตุ๊กตาเหรอ แม่ว่าผิงแม่เคยรู้มั้ยว่าจริงๆผิงคิดอะไรอยู่ เคยรู้มั้ยว่าผิงทำอะไรบ้าง แล้วเคยรู้รึเปล่าว่า***ที่ว่าๆมาน่ะ ไม่แค่ผิง แม่เองก็เป็น" เพี้ย!! แม่ตบหน้าผิงดังฉาด

"ยายผิง มันจะก้าวร้าวไปแล้ว" ผิงไม่ยอมเลิกลา เธอยังคงพูดต่อ "ใช่.. แล้วรู้มั้ยทำไม เพราะแม่ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนให้ผิงเห็น ไม่เคยทำอย่างที่แม่ต้องการให้ผิงทำ ไม่เคยเป็นอย่างที่แม่ต้องการให้ผิงเป็น ไม่เคยเป็นตัวอย่าง จริงอยู่แม่เป็นแม่ ผิงต้องเคารพเชื่อฟัง แล้วไงล่ะ แม่สามารถชี้ผิดชี้ถูกผิงได้โดยที่เหตุผลจะเพียงพอหรือไม่ก็ตาม แล้วผิงเองต้องยอมรับใช่ไหม?" เพี้ย!! อีกฉาด


"กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉัน ฉันเป็นแม่แกนะ รอแกเป็นแม่ฉันซะก่อนถึงจะมีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้"
"บอกซิว่าที่ผิงพูดน่ะไม่จริง บอกสิว่าผิงเข้าใจผิด บอกสิว่าแม่เข้าใจผิงทุกเรื่อง บอกสิว่าแม่เคยรับรู้ว่าผิงคิดอะไร บอกสิว่าเคยคิดว่าผิงเป็นลูกของแม่ เป็นคนในครอบครัว ไม่ใช่คนนอกที่หลงเข้ามา?" น้ำตานองหน้าแล้ว อารมณ์ตอนนี้กลั้นไม่อยู่อีกแล้ว แม่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเดินจาเธอไปด้วยท่าทีที่แสนเย็นชา ผิงซุดตัวฮวบลง วันที่เลวร้ายมาถึงแล้ว


ผิงขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าตามปกติที่เธอเคยทำ และเฝ้ามองดวงดาวด้วยน้ำตา ความเข้มแข็งมลายหายไปแล้ว ถึงเวลาแล้วดาวจ๋า ผิงไม่เหลือใครอีกแล้ว คนที่ผิงรอเขามาทั้งชีวิต เขาจากไปแล้ว ไม่มีความหวังหลงเหลือแล้ว ผิงรักพวกเค้ามาก แต่ผิงไม่เคยได้รับมันตอบ ผิงไม่โทษพวกเค้าที่ทำแบบนี้ ผิงผิดเองที่มาเกิดในที่ที่เค้าไม่ต้องการ เวลาของผิงหมดลงแล้ว เหลือโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว บางทีเค้าอาจจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้ คนเราจะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่าเมื่อสิ่งนั้นจากไปก็ได้ แล้วผิงก็สะดุดกับคำพูดตัวเอง คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวเธอ ?คนเราจะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่าเมื่อสิ่งนั้นจากไปก็ได้? สายฝนเริ่มกระหน่ำลงมาแล้ว มันตกแรงขึ้นทุกที เมฆหมอกบดบังดวงดาวจนหมดสิ้น ไม่เห็นดาวอีกแล้ว

แม้แต่เธอก็ยังจากฉันไปในเวลาที่ฉันไม่มีใคร? ผิงนึก เธอยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่เคลื่อนที่ สายฝนเทกระหน่ำอย่างไม่ละวาง นี่มันต้องการซ้ำเติมใช่ไหม ผิงคิดถึงข้อนี้ และเธอเองไม่คิดจะหนีมันอีกแล้ว เมื่อฟ้าต้องการให้มันเป็นไป เธอจะทำตามที่เขากำหนด ผิงนั่งอยู่อย่างนั้นจนเช้า ไม่มีใครพบเธอ ไม่มีใครเห็นเธอ และที่สำคัญไม่มีใครหาเธอ? พ่อเดินออกจากห้องนอนมาล้างหน้าแปลงฟัน มีบางสิ่งที่ผิดสังเกต ประตูดาดฟ้าเปิดอยู่ พ่อเดินไปอย่างสงสัย ไม่มีอะไรอยู่บนนี้ ไม่มีอะไรอยู่ที่พื้น เว้นแต่?. บนหลังคานั่น ร่างเด็กสาวนั่งกอดเขาอยู่ หน้าตาซีดเผือด พ่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ และรีบปีนขึ้นไปพาตัวลูกสาวลงมาอย่างยากลำบาก

สติสัมปชัญญะหายไปสิ้นแล้วจากตัวเธอ เธอหลุดไปอยู่ในภวังค์แล้ว ไม่รับรู้ และไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป พ่อพาเธอไปโรงพยาบาล และหลายวันมานี้ เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาว ในเสื้อและกางเกงสีฟ้าของโรงพยาบาล ไม่กิน ไม่รับรู้ พ่อแม่และน้องของเธอมาเฝ้าเธอทุกวัน ผิงเองลืมตาอยู่ แต่ดวงตานั้นช่างเศร้าหมองและสงบนิ่ง "หาเรื่องจนได้" แม่พูดอยู่ข้างเตียง "อะไรอีกล่ะ" พ่อถามอย่างรำคาญ "อ้าว ก็ทำเรื่องจนตัวเองป่วยหนัก เปลืองเงินเปลืองทองมารักษา แล้วยังเอามาดรงพยาบาลเอกชนอีก ค่ารักษาแพงจะตาย เอาไปไว้โรงพยาบาลหลวงดีกว่า ช้าแต่ถูก" พ่อส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ ไม่มีใครเห็นเลยสักคน น้ำใสๆไหลออกจากตาผิงไม่ขาดสาย เธอรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ได้ยินทุกประโยคที่พูดมา พ่อแม่และน้องสาวของผิงออกจากห้องไปพร้อมกันเพื่อไปหาอะไรกิน พ่อเดินออกจาห้องไป "คุณพ่อครับ มีเรื่องคุยด้วยหน่อย" หมอเรียกพ่อ พ่อทำหน้าตาอย่างสงสัยแล้วเดินตามไป "คิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าลูกคุณมีปัญหาอะไร"
"ครับ" เสียงนั้นตอบกลับอ่างตั้งคำถาม


"สภาพจิตใจของเด็กไม่สู้ดีนัก เธอเป็นหวัด แต่ร่างกายไม่สั่งการให้ไอ จาม และยังไม่รับรู้อะไรอีก อาการหนักนะครับ ผมว่าเรื่องบางเรื่องหมอก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าสภาพจิตใจไม่รับ ร่างกายก็ไม่รับเช่นกัน" พ่อเดินออกไปอย่างครุ่นคิด และเมื่อออกนอกตึกโรงพยาบาล เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังเข้าหู มีคนจะกระโดดตึก!! เสียงนั้นร้องอย่างตกใจ จากข้างล่างนี้มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร พ่อรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังห้องของลูกสาวที่นอนป่วยอยู่ ประตูถูกเปิดดัง ปัง!! ไม่มี ผิงหายไป สายน้ำเกลือถูกถอดออก ไม่? พ่อรีบวิ่งไปที่ดาดฟ้า พร้อมกับแม่แล้วลูกสาวคนเล็กที่วิ่งตามไปติดๆ และสิ่งที่เห็นคือ เด็กสาวคนหนึ่ง เธอเอาชีวิตของเธอไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอกำลังยืนอยู่บนระเบี่ยงของตึกที่สูงจากพื้นถึงห้าสิบเมตร

"ผิง" พ่อร้องอย่างตระหนก ผิงยังคงยืนนิ่งมองโลกกว้างออกไป สายตามองตรง และในแววตานั้นเศร้าหมองเหลือเกิน พ่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น แม่เองก็เช่นกัน พลอยยืนร้องไห้อย่างไม่มีสติอยู่ สายตานิ่งสงบของลูกสาวทำให้พ่อกลัวยิ่งนัก มันเป็นลางท่ไม่ดีเอาซะเลย "ถึงเวลาแล้วค่ะพ่อ" ผิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก็ฟังได้อย่างชัดเจน "ผิงขอโทษถ้าทำอะไรให้พ่อกับแม่ไม่พอใจ ขอโทษที่ไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย ไม่เคยทำให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ มันคงจะดีถ้าผิงจะไม่อยู่ให้รบกวนพ่อแม่อีก ไม่มีหน้าให้แม่มองแล้วรำคาญใจ"
"ไม่นะผิง ลงมานะ" แม่ร้อง "มันคงถึงเวลาซะที เวลาของผิงหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย ผิงรักพ่อกับแม่นะคะ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพูด อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจ ผิงไม่ได้ตั้งใจทำให้พ่อแม่ต้องรำคาญ ผิงจะคืนเวลาที่มีค่า ความสุข ไม่ต้องลำบากอีกแล้ว ผิงจาไปจากโลกนี้ หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้พ่อกับแม่มีความสุข สิ่งสุดท้ายที่ผิงอยากขอบอกหน่อยได้ไหมคะ รักผิงบ้างรึเปล่า" "พ่อกับแม่รักลูกเสมอ" พ่อบอก
ไม่มีคำตอบจากแม่ ผิงรอคอยคำตอบนั้นอย่างอดทน ดูเหมือนแม่จะนิ่งและไม่ยอมตอบเธอ แม่ต้องการพูดโกหก?"ลาก่อนค่ะ" เป็นคำพูดครั้งสุดท้าย คำสุดท้าย และพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ฟังอีกต่อไป พ่อรีบกระโดดคว้าตัวลูกสาว แต่สายไปซะแล้ว สายเกินไปแล้ว "แม่รักลูกนะผิง" แม่ตะโกนลงมาอย่างสุดเสียง นึกเสียใจว่าทำไมถึงไม่ยอมพูดแต่แรก น้ำตาไหลออกจากตาของผิง ขอบคุณค่ะแม่?แต่สายไปแล้ว ผิงยิ้มอย่างมีความสุข เธอจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว ชีวิตที่มีครั้งเดียวของเธอได้สิ่งที่ต้องการเมื่อวินาทีสุดท้ายที่มันจะพรากจากโลกนี้ไป เวลา คำพูด โอกาส สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียว ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว เมื่อสิ่งที่ต้องการเป็นดังหวัง อย่าได้หวังอะไรมากจนกระทั่งจากไปอย่างไม่มีความสุข?. ลาก่อนผิง

นี้ล่ะน่าความรัก

ความรักคือๆๆๆ!!!!!

คำว่ารักสามารถหมายความถึงความรู้สึก สภาพทางอารมณ์และทัศนะที่แตกต่างกันได้หลากหลาย ซึ่งอาจมีตั้งแต่ความพอใจทั่วไปจนถึงความดึงดูดระหว่างบุคคลอย่างรุนแรง แต่โดยเจาะจงแล้ว ความรักสามารถหมายถึงความต้องการอย่างเสน่หาและความสัมพันธ์ทางเพศของความรักแบบโรแมนติก ความรักที่มีเพศเข้ามาเกี่ยวข้องของอีรอส (คำภาษากรีกหมายถึงความรัก) ความใกล้ชิดทางอารมณ์ของความรักกับบุคคลในครอบครัว หรือรักบริสุทธิ์ที่นิยามมิตรภาพ หรือความรักแบบอุทิศตัวแบบในทางศาสนา ความหลากหลายของการใช้และความหมายของคำว่ารักนี้ ประกอบกับความรู้สึกอันซับซ้อนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เป็นการยากที่จะนิยามความรักให้แน่นอน แม้จะเทียบกับสภาพอารมณ์อื่น ๆ แล้วก็ตาม
วิทยาศาสตร์นิยามว่าสิ่งที่เข้าใจได้ว่าเป็นความรักนั้นเป็นสภาพที่มาจากวิวัฒนาการของสัญชาตญาณการเอาตัวรอด โดยพื้นฐานแล้วเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและเพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของสายพันธุ์ผ่านการสืบพันธุ์

คนเก่งรั่วมหาลัยกับวิศวะคอมพิวเตอร์

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com .... เจอกับ พี่เป้ และคณะในฝันกันเช่นเคย ! สำหรับเดือนกุมภาพันธ์นี้ พี่เป้ ขอเอาใจน้องผู้ชาย (หรืออาจจะผู้หญิงด้วย) ที่รักการใช้ชีวิตกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Hardware หรือ Software เพราะคณะในฝันเดือนนี้ เราจะไปเจาะลึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าวิศวะฯ คอม ... ภาควิชาแห่งคณะวิศวะฯ ที่มักมีคะแนนแอดมิชชั่นสูงลิ่ว !
สำหรับสัปดาห์นี้ พี่เป้ ก็มาพร้อมกับรุ่นพี่คนนึงที่ตอนนี้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในคณะวิศวะฯ คอมในสถาบันในฝันของใครหลายๆ คน ถ้าใครพร้อมแล้ว ก็ไปพูดคุยกับรุ่นพี่คนนี้ได้เลยค่ะ^^
เด็กดีดอทคอม :: เปิดใจเด็กวิศวะฯ คอม เก่งขั้นเทพ !
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นช่วยแนะนำตัวแก่น้องๆ ที่กำลังอ่านอยู่หน่อยค่ะ ^^
สวัสดีครับ พี่พีช - ฐนกร จินดานนท์ กำลังศึกษาอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่ 2
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ

ทำไมหรืออะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้พีชเลือกเรียนวิศวะฯ คอมคะ?
จะว่าไปก็คงเพราะตั้งแต่เด็กถูกพ่อแม่ให้ไปเรียนพิเศษคอมพิวเตอร์แหละครับ ในตอนแรกที่เรียนก็ออกแนวเบื่อๆด้วยซ้ำ แต่พอได้เริ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ก็ทำให้เริ่มรู้สึกว่า เราอยากจะทำโปรแกรมออกมาให้คนอื่นได้ใช้บ้างจัง หลังจากนั้น คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตก็เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผมอย่างขาดไม่ได้ ยิ่งได้เห็นพวกเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่สามารถทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมก็เลยเกิดความรู้สึกอยากจะสร้างหุ่นยนต์แบบนั้นได้บ้าง พอตอน admission ก็เลยเลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ อย่างไม่ลังเลเลยครับ ^^
เด็กดีดอทคอม :: เปิดใจเด็กวิศวะฯ คอม เก่งขั้นเทพ !

แล้วตอนที่แอดมิชชั่นเข้ามา พอจะจำได้มั้ยคะว่าได้คะแนนแต่ละวิชาเท่าไหร่บ้าง?
ปีของผมเป็น admission รุ่นที่ใช้ onet anet เป็นรุ่นสุดท้ายครับ ก็พอจำได้บ้างแต่ตัวเลขคงไม่เป๊ะๆ นะครับ onet 5 วิชารวมแล้ว ประมาน 80% ครับ ที่ได้เยอะๆ ก็เป็นเลขกับวิทยาศาสตร์ครับ (จำคะแนนแยกแต่ละตัวไม่ได้ครับ แหะๆ ) ส่วน anet เลข วิทย์ และพื้นฐานวิศวะ ก็ประมาณ 60 ถึง 70 คะแนนครับ

พูดถึงวิศวะฯ คอม หลายคนอาจจะนึกว่าเรียนเกี่ยวกับการประกอบคอมซ่อมคอม แต่จริงๆ แล้วมันคือการเรียนอะไรบ้างเหรอคะ อยากให้พีชช่วยอธิบายคร่าวๆ
วิศวะฯ คอม ไม่ใช่ช่างซ่อมคอมอย่างที่หลายๆ คนจะเข้าใจนะครับ วิศวะฯ คอมจะสอนให้เราแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน สามารถออกแบบวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้ด้วยคอมพิวเตอร์ครับ
ถ้าจะพูดคร่าวๆ ก็คือ มีวิชาทางด้าน hardware ว่ามันต้องออกแบบยังไง สร้างยังไง แล้วนำมาประกอบรวมกันได้ยังไง จนทำงานเป็นคอมพิวเตอร์ แล้วก็มีวิชาทางด้าน software ก็จะเป็นการฝึกให้รู้จักขั้นตอนการสร้าง การพัฒนา การแก้ปัญหา เทคนิคต่างๆ และอัลกอริทึม รวมทั้งการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ยังมีคณิตศาสตร์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ครับ และเมื่อขึ้นปีสามปีสี่ ก็จะมีวิชาเฉพาะทางซึ่งขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้เรียน เช่น graphic animation network security หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้นครับ ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็สามารถไปดูเพิ่มได้ครับที่นี่ครับ http://www.cp.eng.chula.ac.th/courses/bachelor/beng_th.php

แล้ววิชาที่พีชชอบมากที่สุดคือวิชาไหนเอ่ย? ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิถ้าพูดถึงวิชาที่ชอบที่สุด ก็คงต้องเป็นวิชาทางด้าน programming ครับ ซึ่งก็มีตั้งแต่ปีหนึ่งก็คือ java ที่จะสอนพื้นฐานการเขียนโปรแกรมต่างๆ ด้วยภาษา java นะครับ
พอปีสองก็จะมี programming method ที่เรียกว่าเป็นวิชาต่อเนื่องมาจากปีหนึ่ง แล้วก็จะมี data structure , algorithm design และตัวอื่นๆ ตามมาครับ เหตุผลที่ชอบวิชาทางด้านนี้เพราะเป็นวิชาที่ได้ลองลงมือทำจริงๆ ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ แล้วสามารถนำไปพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ได้จริงครับ โดยในปีสองเทอมแรก น้องๆ ทุกคนก็จะสามารถเขียนเกมได้แล้วครับ และก็จะได้เขียนกันทุกคนด้วยครับ ^^
เด็กดีดอทคอม :: เปิดใจเด็กวิศวะฯ คอม เก่งขั้นเทพ !

แล้ววิชาที่ยากที่สุดล่ะ? ตัวไหนโหดบ้าง
จริงๆ แล้ว ก็ไม่มีวิชาไหนง่ายหรือยากที่สุดหรอกครับ เรียกว่าไม่ถนัดจะดีกว่าครับ ซึ่งก็คงเป็นวิชาทางสาย hardware ที่ต้องลงมือต่อวงจร บัดกรี อะไรพวกนี้ครับ เพราะอะไรที่ต้องทำอะไรด้วยมือจริงๆ มักทำออกมาไม่ดีครับ บางครั้งก็พังไปเลย ซึ่งก็เป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เวลาจะประดิษฐ์อะไร มักจะทำเละเสมอๆ ฮาๆ

ว่ากันว่าใครไม่เก่งฟิสิกส์นี่จะเรียนอย่างลำบากสุดๆ จริงมั้ยคะ ฟิสิกส์นี่ปราบเซียนเลยจริงรึเปล่า?
จะว่าจริงก็ใช่ครับ เพราะเมื่อเข้ามาไม่ว่าจะวิศวะภาคอะไร ปีหนึ่งจะเรียนรวมกันหมด นั่นคือทุกคนต้องเจอกับฟิสิกส์ 1 และ 2 ครับ สำหรับความคิดเห็นผม ฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยนั้น ได้ใช้แคลคูลัสมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา (ซึ่งวิชาแคลคูลัสก็เรียนไปพร้อมๆ กับฟิสิกส์นั่นแหละ) ทำให้หลายคนปรับตัวได้ไม่ทัน เรียนไม่เข้าใจ เพราะแคลคูลัสก็ยังไม่คล่อง ไม่เข้าใจ แล้วต้องเอามาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางฟิสิกส์อีก ก็เลยทำให้คนที่ไม่เก่ง ฟิสิกส์อยู่แล้ว ลำบากขึ้นไปอีกครับ ซึ่งตัวผมเองตอนเทอมแรกที่เข้าไปก็เหนื่อยกับฟิสิกส์ที่สุดแล้วแหละครับ ถ้าเราพยายามสู้กับมัน ไม่ทิ้งมันไป ก็จะผ่านช่วงนี้ไปได้เองครับ

ได้ยินว่าพีชเคยไปประกวด Thailand Code Jom แถมได้รางวัลมาด้วย ....คือการประกวดอะไรเหรอคะ? เล่าให้น้องๆ ฟังหน่อย
เป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดครับ จะเรียกว่าเป็น speed test ก็ได้ หนึ่งทีมมีสมาชิกได้มากสุดไม่เกิน 3 คนครับ แต่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ได้เพียงเครื่องเดียวในการเขียนโค้ดโปรแกรม โดยทีมที่แก้โจทย์ปัญหาได้มากที่สุดในเวลา 100 นาที ก็จะเป็นผู้ชนะครับ การแข่งขันในปี 2010 แบ่งเป็นระดับนักเรียนกับระดับบุคคลทั่วไปครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://codejom.thailandoi.org/ เผื่อน้องๆคนไหนสนใจจะแข่งในต้นปีหน้านะครับ ^^ ทีมของผมคือ ทีม Assume that we win ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับบุคคลทั่วไปมาครับ
เด็กดีดอทคอม :: เปิดใจเด็กวิศวะฯ คอม เก่งขั้นเทพ !

ขอถามต่ออีกนิดนึง ได้ยินมาว่าวิศวะฯ ภาคคอมพิวเตอร์นี่มีแต่คนเก่งๆ หัวกะทิ สุดยอดของวิศวะฯ เลย จริงมั้ยคะ?
ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ มีทั้งเก่ง ธรรมดา ผสมๆ กันไปครับ คนที่มาจากค่ายโอลิมปิกคอมพิวเตอร์ก็จะมีพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมมาแล้ว รวมทั้งความรู้ทางด้านโครงสร้างข้อมูล และอัลกอริทึ่มต่างๆ ซึ่งค่อนข้างจะได้เปรียบนะครับเพราะเรียนมาก่อน ทำให้วิชาเหล่านั้นเรียนได้สบายๆ แต่ว่าคนที่ไม่ได้ผ่านค่ายมาก็สามารถตามทันได้นะครับ ถ้ามีความขยันและตั้งใจ ^^ แค่อาจจะเหนื่อยกว่าครับ (พี่ก็ไม่ได้มาจากค่ายโอลิมปิกคอมพิวเตอร์เหมือนกันนะ)
คนที่ไม่เก่งก็ใช่ว่าจะไม่เก่งตลอดไปนะครับ ต้องรู้ไว้ว่า สาขาทางคอมพิวเตอร์เนี่ย อยู่ที่ว่าใครหาความรู้เพิ่มมากกว่ากัน ฝึกฝนตัวเองหรือเปล่า ถ้าทำมากก็จะยิ่งเก่งกว่าคนอื่นครับ ความรู้ทางศาสตร์นี้มีตั้งแต่ง่ายไปจนยากซับซ้อน ถ้าเราให้เวลากับมันมากกว่าคนอื่น เราก็จะเก่งกว่าคนอื่นแหละครับ มีเพื่อนเคยพูดว่า "ภาคคอมก็เหมือนเกม RPG ใครหาความรู้เรื่อยๆ เลเวลก็เยอะ แล้วก็โหด" ภาคนี้จึงค่อนข้างจะถูกมองว่าคุยกับภาคอื่นไม่รู้เรื่องนะครับ เนื่องจากเนื้อหาที่เรียนแตกต่างกับชาวบ้านมากๆ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่หลายๆ คนจะคิดว่าภาคคอมคุยไรกัน ไม่รู้เรื่อง มีแต่พวกเทพๆ แต่จริงๆ มันก็แค่เนื้อหาที่ภาคคอมเรียนแตกต่างจากชาวบ้านเท่านั้นเอง

แล้วในอนาคต พีชวางแผนไว้ว่าอยากทำอะไรหลังเรียนจบ?
ผมอยากทำงานเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ครับ ทั้งด้าน computer vision และ AI ( ปัญญาประดิษฐ์ ) เพื่อที่จะได้มีหุ่นยนต์ไว้ใช้งานในงานที่ต้องเสี่ยงภัยอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ รวมทั้งช่วยเหลือให้มนุษย์อยู่ได้ดีขึ้นด้วยครับ เพราะตอนนี้ผมเองก็อยู่ชมรมนักประดิษฐ์ หรือ Engineering Innovator Club ( EIC ) โปรเจคท์ที่ผมทำอยู่กับเพื่อนๆ และพี่ๆ ปีสามในตอนนี้ก็คือ Humanoid Soccer ครับ (มีชื่อทีมว่า กอไก่ Kor Kai จากเดิมที่ชื่อว่า ChibiDragon) ซึ่งเป็นการพัฒนาหุ่นยนต์เหมือนคนเพื่อมาเตะบอลแข่งกันโดยแบ่งเป็นฝั่งละสามตัว สำหรับน้องๆ ที่สนใจไปดูได้ที่นี่นะครับ http://www.facebook.com/pages/KorKai/159316337451710
ส่วนหน้าของการแข่งขัน Thailand Humanoid Soccer ก็คือ http://www.thailandhumanoid.org/

สุดท้ายอยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่อยากเรียนวิศวะฯ คอมด้วยค่ะ^^
สำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนวิศวะฯ คอมนะครับ ขอให้น้องเตรียมตัวให้พร้อม แล้วก็หาความรู้ใหม่ๆ เสมอๆ ครับ เพราะอย่างที่บอกครับ ศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์มีเยอะ และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา หากเราหยุดอยู่กับที่ ก็จะตามคนอื่นไม่ทันครับ ^ ^ ทางที่ดี ก็ฝึกเขียนโปรแกรมด้วย เพื่อที่เข้ามาแล้วจะได้ไม่เหนื่อยมาก และจะได้ชินกับมันครับ เพราะเราต้องอยู่กับการเขียนโปรแกรมตลอดการเรียนในภาควิชานี้ครับ ( สำหรับน้องๆที่อยากลองฝึกทำโจทย์ทางด้านโปรแกรมมิ่งด้วยภาษา C/C++ ก็ลองไปทำได้ที่เว็บนี้นะครับ http://www.programming.in.th )
แต่อย่าคิดว่าเข้าวิศวะฯ คอมจุฬามาแล้วจะมีแต่เรียนนะครับ มีกิจกรรมหลายๆ อย่างครับที่ให้ทำครับ มีกีฬาสีของภาคที่นอกจากฟุตบอลและบาสเกตบอลแล้ว ยังมีเกมที่ฮิตๆ เช่น dota winning มาแข่งกันด้วยครับ รวมทั้งมีการออกค่ายเพื่อไปช่วยผู้อื่นทุกปีด้วยครับ สุดท้ายพี่ก็ขอให้น้องๆ เข้าวิศวะฯ คอมให้ได้นะครับ ไม่ว่าจะที่จุฬาหรือที่อื่นๆ ครับ
เด็กดีดอทคอม :: เปิดใจเด็กวิศวะฯ คอม เก่งขั้นเทพ !

เป็นยังไงกันบ้าง เก่งจริงอะไรจริงเลยใช่มั้ยล่ะคะ น้องๆ ที่อยากเรียนวิศวะฯ คอมก็คงพอจะเห็นภาพแล้วเนาะว่า ถ้าเข้าไปเรียนจริงๆ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ..... ส่วนสัปดาห์หน้าคณะในฝันจะกลับมาพร้อมกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งจบจากวิศวะฯ คอม และตอนนี้ก็กำลังทำหน้าที่เป็น 1 ในเว็บมาสเตอร์ของ Dek-D.com !!!! ว้าววว อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าพี่เว็บมาสเตอร์คนไหนจะมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นเจอกันพุธหน้านะ

รูปปปปป

เส้นทางสู้โปร์แกรมเมอร์

“ในเวลานี้คงจะปฏิเสธความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยีไม่ได้ว่า รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว อะไรๆ ก็จะต้องมีเรื่องราวของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเข้าไปเกี่ยวข้องแทบทั้งนั้น ทั้งในด้านบวกและด้านลบ แน่นอนเทคโนโลยีมีคุณสมบัติทำให้เกิดความรวดเร็วขึ้น และก็เช่นเดียวกัน ทำให้เกิคความเสียหายในหลากหลายด้าน ทำให้เกิดการทุจริตกับข้อมูล มีการโจรกรรมข้อมูล ปลอมแปลงข้อมูล ทำลายระบบ แทรกแซงระบบ แล้วใครละที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้

โปรแกรมเมอร์ หรือ อาจเรียกว่า “นักเขียนโปรแกรม" หน้าที่หลักของนักโปรแกรมเมอร์ทำหน้าที่ออกแบบโปรแกรม เขียนโปรแกรม ทดสอบโปรแกรม แก้ไขปรับปรุงให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ รวมถึงร่วมแสดงความคิดเห็นให้ข้อเสนอแนะสำหรับทีมงาน ตลอดจนร่วมตัดสินใจกับผู้บริหาร แต่ผู้ที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ นอกจากจะศึกษาหาความรู้ในสาขาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เช่น สาขาวิชาระบบสารสนเทศ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านการเขียนโปรแกรม หรืออาจะเรียกว่า การเขียน ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชนเปิดสอน"

การจะเป็นนักโปรแกรมเมอร์ได้นั้น แน่นอนที่สุด คือ ความรู้ความสามารถในการเขียนและพัฒนาโปรแกรม ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญในการทำงาน แต่เมื่อเริ่มงานในหน่วยงานแล้ว การเรียนรู้งาน ระบบงาน ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ

ถ้าจะถามว่า ควรไปทำงานที่ไหน? คงต้องบอกว่า ปัจจุบันนี้เกือบทุกหน่วยงานมีแผนกหรือฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนั้นคุณสมบัติอะไรบ้างที่ใช้ประกอบการพิจารณารับบุคคลเข้าทำงาน

"อย่างแรก คือ ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ โดยเฉพาะมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ อดทน สู้งาน และเอาใจใส่ สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี และที่สำคัญต้องมีความรู้เทคโนโลยี สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้ คล่องตัว แก้ไขสถานการณ์และปัญหาเฉพาะหน้าได้ และต้องเป็นผู้เรียนรู้ในทุกเรื่องตลอดเวลา

บทสรุปของเส้นทางสู่อาชีพโปรแกรมเมอร์ หรือวิชาชีพใดๆ ก็ตาม คงต้องยึดหลักของการพัฒนาความรู้ ความสามารถในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รู้จักปรับวิธีการทำงาน ปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ยืดหยุ่นแต่ไม่ยุ่งยาก ดังคำที่มีผู้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้อง “เก่งคน และเก่งงาน”


ปัยหาทางสังคม :อ่านกันเล่นๆๆ โลกของเราจะได้มีสีสัน
ปัญหาสังคม หมายถึง สภาวะการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนมากในสังคมและเห็นว่าควรร่วมกันแก้ปัญหานั้นให้ดีขึ้น

สาเหตุของปัญหาสังคม
1. เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเปลี่ยนเป็นสังคมเมือง การเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรม การเป็นค่านิยมใหม่ ๆ ทำให้เกิดปัญหาสังคมขึ้น
2. เกิดจากสมาชิกในสังคมบางกลุ่มไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคมวางไว้ เช่น เกิดความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์กับความมุ่งหมาย เกิดความล้มเหลวของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือสมาชิกบางกลุ่มที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม ทำให้เกิดการขาดระเบียบและเป็นปัญหาทางสังคมขึ้น
3. เกิดจากการที่กลุ่มสังคมต่าง ๆ มีความคิดเห็นความต้องการ และผลประโยชน์ขัดกัน ไม่ยอมร่วมมือแก้ไขปัญหาของสังคม เช่น การเอาเปรียบลูกจ้าง เป็นต้น

ปัญหาของสังคมไทย
1. ปัญหาความยากจน มีสาเหตุเกิดจาก
1. การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร
2. การขาดการศึกษา ทำให้มีรายได้ต่ำ
3. ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
4. ลักษณะอาชีพมีรายได้ไม่แน่นอนสม่ำเสมอ เช่นกรรมกร รับจ้าง
5. มีบุตรมากเกินไป รายได้ไม่พอกับรายจ่าย
6. มีลักษณะนิสัยเฉื่อยชาและเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน
การแก้ไขปัญหา :
1. พัฒนาเศรษฐกิจ เช่น กระจายรายได้ การสร้างงานในชนบท ขยายการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
2. พัฒนาสังคม เช่น ขยายการศึกษาเพิ่มมากขึ้น บริการฝึกอาชีพให้กับประชาชน
3. พัฒนาคุณภาพของประชากร

2. ปัญหาอาชญากรรม มีสาเหตุเกิดจาก
1. การขาดความอบอุ่นทางจิตใจ
2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากขึ้น
3. สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม
4. มีค่านิยมในทางที่ผิด
การแก้ไขปัญหา
1. รัฐและหน่วยงานรับผิดชอบควรช่วยกันแก้ไขปัญหา
2. ปลูกฝังและพัฒนาจิตใจของสมาชิกในสังคมให้มีคุณธรรม
3. อบรมสั่งสอนและให้ความรัก ความอบอุ่น และรวมถึงให้ความร่วมมือกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่
3.ปัญหายาเสพย์ติด มีสาเหตุเกิดจาก
1. ถูกชักชวนให้ทดลอง
2. ประกอบอาชีพบางอย่างที่ต้องการเพิ่มงานมากขึ้น
3. ความอยากรู้และอยากทดลอง
4. สภาวะแวดล้อมไม่ดี
การแก้ไขปัญหา
1. ให้ความรู้เรื่องโทษของยาเสพย์ติด
2. ป้องกันและปราบปรามผู้ซื้อและผู้ขายอย่างเด็ดขาด
3. การร่วมมือสอดส่องดูแลความประพฤติของเด็กอย่างใกล้ชิด
4. จัดให้มีการบำบัดและรักษาผู้ติดยาเสพย์ติด
4. ปัญหาโรคเอดส์ สาเหตุเกิดจาก
1. ปัญหายาเสพย์ติด
2. ขาดความรู้ในการป้องกันโรค
3. เกิดจากความยากจนและไม่เพียงพอ
การแก้ไขปัญหา
1. ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการโรคเอดส์ให้กับประชาชน
2. ไม่เสพย์สิ่งเสพย์ติด โดยเฉพาะการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
3. ระมัดระวังการติดเชื้อโดยทางสายเลือด
5. ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย เสียงเป็นพิษ ขยะมูลฝอย เป็นต้น มีสาเหตุเกิดจาก
1. การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว
2. เกิดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม
4. ขาดความรับผิดชอบ และระเบียบวินัยของสมาชิกในสังคม
การแก้ไขปัญหา
1. ให้การศึกษาและคำแนะนำต่าง ๆ แก่สมาชิกในสังคม
2. วางนโยบายการป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อม
3. ลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทำผิดอย่างจริงจัง


แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมไทย
1. รัฐบาลควรออกระเบียบ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย เพื่อกำหนดมาตรการการป้องกัน และปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจังและแน่นอน
2. วางแผนและนโยบายการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อรณรงค์และอนุรักษ์
3. ให้การศึกษาแก่สมาชิกในสังคมเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในปัญหาต่าง ๆ ให้มากขึ้น
4. ปรับปรุงและพัฒนาสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. พัฒนาเศรษฐกิจทั้งด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการให้ดีขึ้น
6. พัฒนาสังคม สร้างค่านิยม และรณรงค์ให้ประชาชนร่วมมือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น